03 Aug 17 ด้วยวิถีชีวิตของคนทำงานออฟฟิศในปัจจุบัน ที่จะต้องเจอบ่อยๆ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น อาการปวดตัวจากบริเวณต่างๆ มั้ง ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ หรือปวดตรงช่วงบริเวณอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาการที่พบเจอบ่อยมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย แต่อาการแบบไหนกันที่เป็นสัญญาณเตือนของ "หมอนรองกระดูกเสื่อมทับเส้นประสาท" ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็อาจจะเปผ้นอันตรายต่อร่างกายเลยทีเดียว อาการปวดที่ส่งสัญญาณ 1. ปวดบริเวณคอ หลัง อก เอว หลังช่วงล่าง หรือ ช่วงบริเวณไหล่ที่เชื่อมกับคอ โดยปวดแบบจี๊ดๆ เหมือนไฟฟ้าช็อต หรืออาจจะปวดจนสะดุ้งเบาๆ 2. ระยะเวลาในการปวด จะเป็นๆ หายๆ เป็นเวลามากกว่า 2 อาทิตย์ขึ้นไป 3. อาจมีอาการปวดทั่วแผ่นหลัง หรือปวดมากขึ้นในบริเวณบั้นเอว หลังช่วงล่าง ไปจนถึงขา 4.
ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมหลายคนไม่ชอบออกกำลังกายเพราะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อขยับตัว แต่รู้หรือไม่ว่าการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยอาจเสี่ยงทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้น กล้ามเนื้อตึงตัวและยืดหยุ่นน้อยลง รวมทั้งอาจเกิดลิ่มเลือดในขาได้ การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ควรทำควบคู่กับการรักษาวิธีอื่น ๆ อย่างการใช้ยาหรือการประคบร้อนและเย็น เพราะจะช่วยบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ หมอนรองกระดูกสันหลัง การออกกำลังกายช่วยบรรเทาหมอนรองกระดูกเสื่อมได้อย่างไร? นอกจากการรักษาด้วยยา ผู้ป่วย หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ควรทำ กายภาพบำบัด และออกกำลังกายไปด้วย เพราะการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อโดยรอบหมอนรองกระดูกสันหลังแข็งแรงขึ้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้น ทำให้อาการบวมและเจ็บลดลง ทั้งยังเพิ่มสารอาหารและออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงบริเวณดังกล่าวด้วย ผู้ป่วยหมอนรองกระดูกเสื่อมควรออกกำลังกายอย่างไร?
นพ. กสิสิน กลั่นกลิ่น
การผ่าตัดหมอนรองกระดูกแบบเปิดแผล (Open discectomy) เป็นวิธีการผ่าตัดแบบเริ่มแรกตั้งแต่สมัยก่อน โดยจะเป็นการเปิดแผลในบริเวณที่หมอนรองกระดูกถูกกดทับในความกว้างประมาณ 7-8 เซนติเมตร เพื่อที่จะนำหมอนรองกระดูกที่ถูกกดทับอยู่ออกไป 2. การผ่าตัดโดยหมอนรองกระดูกโดยใช้กล้องกำลังขยายสูง (Microscopic discectomy) วิธีนี้จะช่วยให้แผลผ่าตัดเล็กลงเหลือเพียง 2-3 เซนติเมตร โดยแพทย์จะมีตัวช่วยเป็นกล้อง Microscope ที่มีกำลังขยายมากกว่าปกติ 20-100 เท่า ซึ่งจะทำให้เห็นรายละเอียดของเส้นประสาทอย่างชัดเจนมาก โดยไม่จำเป็นเปิดแผลกว้างเหมือนการผ่าตัดแบบปกติ 3.