อาการที่พบได้บ่อยของผู้ที่ตั้งครรภ์ 1 เดือน ได้แก่ แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ สั่งยา ปรึกษาข้อมูลเบื้องต้น จากร้านยาใกล้บ้านคุณได้ง่ายๆ เริ่มจากแชทกับเภสัชกรที่มีใบอนุญาตผ่านแอปของเรา ฟรี!
ตึงคัดเต้านม อาการตึงหรือคัดเต้านม ส่วนใหญ่เกิดมากจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และเอสโตรเจน (Estrogen) ในร่างกายแม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีผลทำให้มีอาการเต้านมขยายใหญ่ขึ้น และเจ็บเต้านมมากขึ้น นอกจากนี้ แม่ท้องบางคนยังมีหัวนมที่ใหญ่และดำขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมน HPL (human placental lactogen) ที่จะมีส่วนในการผลิตน้ำนมในเวลาต่อมา ข้อแนะนำ หญิงตั้งครรภ์ควรสวมใส่ชุดชั้นในที่ใหญ่และสบาย ไม่ควรใส่ชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป 7. ท้องผูก อีกหนึ่งอาการที่แสดงว่ากำลังเริ่มตั้งครรภ์ก็คือ อาการท้องผูก ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) แต่ในขณะเดียวกัน ฮอร์โมนนี้กลับทำหน้าที่ช่วยให้กล้ามเนื้อมดลูกและผนังลำไส้รู้สึกผ่อนคลาย ข้อแนะนำ รับประทานผักและผลไม้ในสัดส่วนที่มากขึ้น และให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ซึ่งหากทำได้แบบนี้แล้ว นอกจากจะแก้ปัญหาท้องผูกได้แล้ว ยังทำให้แม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการอีกด้วย 8. มีเลือดออกมาจากช่องคลอด เลือดออกจากช่องคลอดแบบกระปริบกระปรอยแต่ไม่ใช่ประจำเดือน หรือคนทั่วไปเรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์ เกิดจากการที่ไข่ซึ่งผ่านการผสมกับสเปิร์มแล้วเคลื่อนไปเกาะและฝังตัวอยู่ที่ผนังมดลูก ทำให้มีเลือดออกเล็กน้อย จึงอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือน โดยปกติแล้ว เลือดที่เกิดจากการฝังตัวของไข่ที่ผนังมดลูกนี้ จะปรากฎขึ้นในช่วงรอบไข่ตก และมีลักษณะเป็นสีชมพูออกมาในปริมาณเพียงเล็กน้อย หรืออาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ข้อแนะนำ หากพบเลือดออกในลักษณะนี้ไม่ต้องตกใจ และสามารถปรึกษาแพทย์ได้ หากไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดล้างหน้าเด็กหรือไม่ 9.
อารมณ์อ่อนไหว การตั้งครรภ์ส่งผลให้ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจนเตอโรนสูงขึ้น จึงกระทบต่อสภาวะอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ง่าย โดยคุณแม่อาจมีอารมณ์ที่อ่อนไหวมากกว่าปกติหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น เศร้า หดหู่ หงุดหงิด กังวล ตื่นเต้นหรือมีความสุขในบางครั้ง นอกจากนี้ คนท้องอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้อีกด้วย หากตัวคุณแม่เองหรือคุณพ่อสังเกตพบว่าเกิดอารมณ์ซึมเศร้าหรือหดหู่นานต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ เพราะภาวะทางด้านอารมณ์อาจกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ 9.
มีบัญชีอยู่แล้ว? 1 ธ. ค. 2018 เวลา 13:39 • สุขภาพ 7 อาการ #สัญญาณเตือนภาวะหัวใจล้มเหลว ในปัจจุบันนี้เราจะได้ทราบข่าวการเสียชีวิต ของผู้คนไม่ว่าจะเป็น บุคคลทั่วไป บุคคลมีชื่อเสียงในหลากหลายวงการ เช่น. ดารา นักร้อง นักแสดง นักกีฬา นักการเมือง ฯลฯ และล่าสุดกับการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ "ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ" เรามาดูกันดีกว่าว่า #ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือ #หัวใจวาย มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง? 1. อาการเหนื่อย/หายใจลำบาก (Dyspnea) ในช่วงแรกของการเกิดภาวะนี้ อาการเหนื่อยจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อออกแรงทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ หรือออกกำลังกาย ซึ่งผู้ป่วยจะ ต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเอง เนื่องจากความรู้สึกเหนื่อยของแต่ละคนเมื่อออกแรงทำกิจกรรมเดียวกันอาจไม่เท่ากัน แต่เมื่อภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาการเหนื่อยก็จะเป็นมากขึ้น จนกระทั่งทำกิจวัตรประจำวันธรรมดา เช่น กวาดบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ก็จะเหนื่อยง่ายจนผิดสังเกต และเมื่อภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรงมาก ผู้ป่วยก็จะรู้สึกเหนื่อยแม้ว่ากำลังนั่งเฉยๆก็ตาม 2. อาการนอนราบไม่ได้ (Orthopnea) ผู้ป่วยจะต้องใช้หมอนหนุนหลายใบเพื่อให้ศีรษะยกตัวสูงขึ้น ในรายที่อาการรุนแรงจะไม่สามารถล้มตัวลงนอนราบตามปกติได้เลย ต้องนอนหลับในท่านั่งเท่านั้น 3.
น้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำ คือ ของเหลวที่โอบล้อมทารกที่เจริณเติบโตอยู่ในท้องแม่ ถุงน้ำคร่ำแตกสามารถเกิดขึ้นได้หลายวันก่อนคลอด หรือมีเพียง 15% ของสตรีตั้งครรภ์เท่านั้นที่เมื่อน้ำคร่ำแตกแล้วต้องคลอดทันที อย่า. ไรก็ตามถ้าถุงน้ำคร่ำแตกก็ถือเป็นสัญญาณใกล้คลอดที่คุณแม่ไม่ควรชะล่าใจ เมื่อเกิดขึ้นควรรีบเข้าพบสูตินรีแพทย์ทันทีค่ะ 5. ท้องร่วง อีกวิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดของร่างกาย คือ การสร้างสารที่ทำให้มดลูกหดตัวเพื่อช่วยขยายปากมดลูกให้กว้างขึ้น และความเปลี่ยนแปลงนี้เองก็กระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายมากด้วยเช่นกัน 6. ลูกดิ้นน้อยลง ช่วงใกล้คลอด คุณแม่จะรู้สึกได้ว่าลูกน้อยดิ้นน้อยลง นั่นก็เพราะทารกโตเต็มที่จนภายในท้องคุณแม่ไม่มีที่ให้ลูกน้อยขยับไปมาได้มากเท่าแต่ก่อนนั่นเอง โดยปกติแล้วทารกอายุครรภ์ประมาณ 32 สัปดาห์ จะดิ้นเฉลี่ย 575 ครั้งต่อ 12 ชั่วโมง และทารกในอายุครรภ์ 40 สัปดาห์ จะดิ้นเหลือเพียงครึ่งเดียวหรือประมาณ 282 ครั้งต่อ 12 ชั่วโมง อาการดิ้นที่น่าเป็นห่วงของลูกน้อย คือ ดิ้นไม่ถึง 10 ครั้งในเวลา 4 ชั่วโมง หรือดิ้นน้อยลงมากจนผิดสังเกต ประกอบกับการมีเลือดไหลออกมา ถ้าเป็นในกรณีนี้ให้รีบเข้าพบแพทย์โดยด่วนเพื่อวินิจฉัยอาการค่ะ 7.