7 การเชื่อมกระทบ (Percussion Welding: PEW) 6 การแล่นประสาน (Brazing: B) ประกอบด้วยกรรมวิธีในการแล่นประสานแบบต่าง ๆ ดังนี้ 6. 1 การแล่นประสานเป็นกลุ่ม (Block Brazing: BB) 6. 2 การแล่นประสานแพร่ (Diffusion Brazing: DFB) 6. 3 การแล่นประสานแบบจุ่ม (Dip Brazing: DB) 6. 4 การแล่นประสานในเตา (Furnace Brazing: FB) 6. 5 การแล่นประสานเหนี่ยวนำ (Induction Brazing: IB) 6. 6 การแล่นประสานอินฟาเรด (Infrared Brazing: IRB) 6. 7 การแล่นประสานด้วยความต้านทาน (Resistance Brazing: RB) 6. 8 การแล่นประสานด้วยเปลวไฟ (Torch Brazing: TB) 6. 9 การแล่นประสานคาร์บอนอาร์ก (Twin Carbon Arc Brazing: TCAW) ขอขอบคุณข้อมูลจาก 25/8/56
8 การเชื่อมอาร์กพลาสมา (Plasma Arc Welding: PAW) 3. 9 การเชื่อมใต้พลักช์ (Submerged Arc Welding: SAW) 3. 10 การเชื่อมอาร์กลวดหุ้มฟลักซ์ (Shielded Metal ArcWelding: SMAW) 3. 11 การเชื่อมสลัก (Stud Welding: SW) 4 การเชื่อมในสถานะของแข็ง ( Solid State Welding: SSW) ประกอบด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ ดังนี้ 4. 1 การเชื่อมกดเย็น ( Cold Welding: CW) 4. 2 การเชื่อมแพร่ ( Diffusion Welding: DFW) 4. 3 การเชื่อมอัดระเบิด ( Explosion Welding: EXW) 4. 4 การเชื่อมทุบ (Forge Welding: FOW) 4. 5 การเชื่อมอัลตราโชนิก (Ultrasonic Welding: USW) 4. 6 การเชื่อมเสียดทาน (Friction Welding: FRW) 4. 7 การเชื่อมกดร้อน (Hot Pressure Welding: HPW) 4. 8 การเชื่อมหมุน (Roll Welding: ROW) 5 การเชื่อมแบบอื่น ๆ (Other – Welding) ประกอบด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ ดังนี้ 5. 1 การเชื่อมด้วยลำอิเล็กตรอน (Electron Beam Welding: EBW) 5. 2 การเชื่อมไฟฟ้าสแลกคลุม ( Electroslag Welding: ESW) 5. 3 การเชื่อมแบบโฟลว์ (Flow Welding: FLOW) 5. 4 การเชื่อมเหนี่ยวนำ (Induction Welding: IW) 5. 5 การเชื่อมด้วยเลเซอร์ (Laser Beam Welding: LBW) 5. 6 การเชื่อมเทอร์มิท (Thermit Welding: TW) 5.
5 การเชื่อมจุด (Resistance Spot Welding: RSW) 2. 6 การเชื่อมอัฟเสท (Upset Welding: UW) 2. 7 การเชื่อมอัฟเสท – ความถี่สูง (Upset Welding - High Frequency: UW - HF) 2. 8 การเชื่อมอัฟเสท – เหนี่ยวนำ (Upset Welding - Induction: UW - I) 3 การเชื่อมอาร์ก (Arc Welding: AW) ประกอบด้วยกรรมวิธีต่างๆดังนี้ 3. 1 การเชื่อมไฮโดรเจนอะตอม (Atomic Hydrogen Welding: AHW) 3. 2 การเชื่อมอาร์กลวดเปลือย (Bare Metal Arc Welding: BMAW) 3. 3 การเชื่อมอาร์กคาร์บอน (Carbon Arc Welding: CAW) 1. ใช้แก๊ส (Carbon Arc Welding – Gas: CAW-G) 2. ใช้สารพอกหุ้ม (Carbon Arc Welding – Shielded: CAW – S) 3. ใช้แท่งคู่ (Carbon Arc Welding – Twin: CAW-T) 3. 4 การเชื่อมไฟฟ้าแก๊สคลุม (Electro Gas – Welding: EGW) 3. 5 การเชื่อมอาร์กลวดไส้ฟลักซ์ (Flux Cored Arc Welding: FCAW) 3. 6 การเชื่อมอาร์กโลหะแก๊สคลุม (Gas Metal Arc Welding: GMAW) การเชื่อมอาร์กโลหะแก๊สคลุม – อาร์กพัลล ์ (Gas Metal Arc Wilding – Pulsed Arc: GMAW – P) การเชื่อมอาร์กโลหะแก๊สคลุม – อาร์กลัดวงจร (Gas Metal Arc Welding –Short CuicuitingArc:GMAW – S) 3. 7 การเชื่อมอาร์กทังสเตนแก๊สคลุม (Gas Tungsten Arc Welding: GTAW) การเชื่อมอาร์กทังสเตนแก๊สคลุม – อาร์กพัลส์ (Gas Tungsten Arc Welding – Pulsed Arc: GTAW – P) 3.
เวลาที่เราทำอาหารกินกันเองอยู่ที่บ้าน ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้เตาแก๊สซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำอาหาร (บางคนก็บอกว่า "ใช้เตาไฟฟ้าอ่ะ ที่บ้านไม่ได้ใช่แก๊ส" บอกแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอกนะ =__=) ซึ่งเตาแก๊สที่เราใช้กันส่วนมากนั้นก็อาจจะมีแบบหัวเดียวหรือหัวคู่ที่มีลูกบิดหมุนเพื่อจุดให้มีเปลวไฟออกมา โดยเปลวไฟที่ออกมาจากตัวเตาก็มาจากถังแก๊สที่เราต่อสายไว้นั่นเอง แต่เวลาที่เราออกไปกินข้าวนอกบ้านตามร้านอาหารตามสั่งที่ตลาดหรือในศูนย์อาหารโดยเฉพาะร้านที่มีคนยืนทำอาหารสดๆให้เห็นนั้น เราก็จะเห็นเตาแก๊สอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะสีเขียวและมีเปลวไฟที่แรงกว่าเตาแก๊สที่เราทำจากบ้านอีก ด้วยเหตุนี้ บางคนก็สงสัยว่า เอ๊ะ? เตาแก๊สที่เราใช้ทำกันในบ้านกับเตาแก๊สที่พ่อครัวแม่ครัวใช้กันในร้านอาหารต่างกันอย่างไร และมีกี่แบบกี่ประเภทกัน???? ถ้าอย่างงั้น เดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ตามนี้นะ:) ประเภทของเตาแก๊สที่ใช้กันทั่วไปที่เราเห็นกันจนชินตา มีอยู่ 2 แบบ คือ 1. เตาแก๊สแรงดันต่ำ เตาแก๊สประเภทนี้ ส่วนมากจะใช้กันในบ้านและครัวเรือน แบบที่เราทำกับข้าวกินเองอย่างที่บอกแหละ! (บางคนก็อาจจะเรียกเตาประเภทนี้ว่า"เตาแก๊สอัตโนมัติ") จุดเด่นของเตาแก๊สประเภทนี้คือจะมีขารองภาชนะที่ไว้สำหรับวางกระทะ และมีลูกบิดสปาร์คที่เป็นตัวจุดให้มีเปลวไฟออกจากเตา โดยหมุนไปทางซ้ายมือแล้วมีเสียง "แป๊ก!! "
การแบ่งประเภทกรรมวิธีการเชื่อมโลหะตามสมาคมการเชื่อมอเมริกา ที่มา: AWS. 1995 หน้า 3 – 2 การแบ่งประเภทของการเชื่อมโลหะตามสมาคมการเชื่อมอเมริกา (American Welding Society: AWS) ได้จัดแบ่งกรรมวิธีการเชื่อมและกรรมวิธีการเชื่อม ต่อเนื่อง จำนวน 12 ประเภทหลัก และแบ่งเป็นกรรมวิธีย่อย ๆ อีก จำนวน 50 ชนิด แต่ในที่นี้จะแนะนำเพียง 6 ประเภทหลัก 1 การเชื่อมแก๊ส (Oxy fuel gas Welding: OFW) ประกอบด้วยกรรมวิธีการเชื่อมต่างๆ ดังนี้ 1. 1 การเชื่อมออกซีอะเซทิลีน-อากาศ (Air acetylene Welding: AAW) 1. 2 การเชื่อมออกซิอเซทิลีน (Oxyacetylene Welding: OAW) 1. 3 การเชื่อมออกซีไฮโดรเจน (Oxyhydrogen Welding: OHW) 1. 4 การเชื่อมแก๊สใช้แรงกด (Pressuregas Welding: PGW) 2 การเชื่อมด้วยความต้านทาน (Resistance Welding: RW) ประกอบด้วยกรรมวิธีการเชื่อมต่าง ๆ ดังนี้ 2. 1 การเชื่อมวาบ (Flash Welding: FW) 2. 2 การเชื่อมปุ่มยื่น (Projection Welding: HFRW: PW) 2. 3 การเชื่อมตะเข็บ – ความถี่สูง (Resistance Seam Welding – High Frequency: RSEW - HF) 2. 4 การเชื่อมตะเข็บ – เหนี่ยวนำ (Resistance Seam Welding – Induction: RSEW – I) 2.
ลวดเชื่อม เป็นวัสดุหลักที่ช่างเชื่อมใช้ทำงานในด้านงานเชื่อมโลหะ ทำให้ชิ้นงานที่เป็นโลหะ 2 ชิ้น หลอมเหลวเข้ากันเป็นชิ้นเดียวกัน น้ำโลหะเหลวที่เกิดจากลวดเชื่อม ทำให้ชิ้นงานติดกันมีความแข็งแรงสามารถรับแรง และคงรูปอยู่ได้ ช่างเชื่อมและคนใช้งานลวดเชื่อมทั่วไปคงคุ้นตากันดี " ว่าแต่ลวดเชื่อมมีกี่ชนิดกันนะ " มาดูกันครับ ลวดเชื่อม แบ่งออกได้เป็น 6 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ลวดเชื่อมธูป ลวดเชื่อมไฟฟ้า หุ้มฟลักซ์ – เป็นลวดเชื่อม ที่ด้านนอกจะมีสารเคลือบฟลั๊กซ์ (Flux) มีลักษณะคล้ายธูป ด้านในเป็นลวดโลหะ ซึ่งลวดโลหะมีอยู่หลายชนิด เช่น ลวดเชื่อมเหล็ก และ ลวดเชื่อมสแตนเลส สามารถเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของชิ้นงานที่ต้องการเชื่อม เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้งานกันมากในหมู่ช่างเชื่อม อุปกรณ์และเส้นลวดเชื่อมมีราคาไม่แพง มีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน ตั้งแต่ 2. 0, 2. 6, 3. 2, 4. 0 และ 5. 0 2. ลวดเชื่อมไส้ ฟลักซ์ – เป็นลวดเชื่อมโลหะแบบเป็นม้วน ลวดมีแกนกลวงบรรจุด้วยสารพอกอยู่ภายในลวด ต่างจากลวดเชื่อมธูปไฟฟ้า (Welding Electrode) ที่สารพอกจะอยู่ภายนอกลวดเชื่อม ลวดเชื่อมไส้ฟลักซ์ (Flux Cored Wire) มีราคาค่อนข้างสูง แต่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อมได้รวดเร็วและสวยงาม 3.
โช๊คอัพระบบน้ำมัน โช๊คอัพระบบน้ำมัน คือโช๊คอัพที่ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิคโดยในขณะที่โช๊คอัพกำลังทำงานอยู่นั้น น้ำมันไฮดรอลิคจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบ ทำให้เกิดฟองอากาศภายในและเมื่อใดก็ตามที่ฟองอากาศดังกล่าวแตกก็จะทำให้เกิดการทำงานของโช๊คอัพที่ผิดปกติ ส่งผลให้รถยนต์เสียการทรงตัวในจังหวะที่ใช้ความเร็วสูงได้ 2. โช๊คอัพระบบแก๊ส โช๊คอัพระบบแก๊ส ถือเป็นโช๊คอัพที่ได้รับความนิยมมาก โดยเป็นการทำงานร่วมกันของแก๊สไนโตรเจนและน้ำมันไฮดรอลิค ซึ่งเมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะมีการเลื่อนตัวลงไปยังด้านล่างของกระบอกสูบและไหลขึ้นผ่านวาวล์ไปยังห้องน้ำมันด้านบน ในขณะที่มันอีกส่วนหนึ่งก็จะไหลลงด้านล่างเพื่อไปพักตัวอยู่ในห้องน้ำมันสำรองซึ่งหลังจากนั้นเองแก๊สไนโตรเจนก็จะเกิดการอัดตัวทำให้มีแรงดันในการอัดน้ำมันไฮดรอลิคกลับไปยังกระบอกลูกสูบ โดยสามารถแบ่งประเภทของโช๊คอัพระบบแก๊สออกได้เป็นอีก 2 ชนิด ดังนี้ โช๊คอัพแก๊สแรงดันต่ำ สามารถอัดแรงดันไว้ได้ประมาณ 10-15 กก. /ตร. ซม โช๊คอัพแก๊สแรงดันสูง สามารถอัดแรงดันไว้ได้ประมาณ 20-30 กก. ซม.
จะมีอุณหภูมิ 5, 700 องศาฟาเรนไฮต์ ( 2, 800 0C) การเผาไหม้จะมีแก๊สอะเซทิลีนเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง จึง เหมาะสำหรับเชื่อมงานที่ต้องการเติมคาร์บอนที่ผิวโลหะ หรือเชื่อมโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ซึ่งต้องใช้อุณหภูมิในการหลอมไม่สูงมากนัก เช่นอะลูมิเนียม แมกนีเซียม และใช้ในการบัดกรีแข็ง 1. 2 เปลวกลาง ( Neutral Flame) เป็นเปลวที่ได้มาจากการผสมกันระหว่างแก๊สออกซิเจนกับอะเซทิลีนในอัตราส่วน 1:1 การเผาไหม้สมบูรณ์ ประกอบด้วยเปลวไฟ 2 ชั้น ชั้นในเป็นกรวยปลายม ระยะห่างจากปลายกรวยประมาณ 3 มม. จะมีอุณหภูมิประมาณ 6, 000 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 3, 150 องศาเซลเซียส (3, 150 0C) เมื่อนำ เปลวไฟนี้ไปเผาโลหะที่เป็นเหล็กจะหลอมละลายเป็นบ่อน้ำโลหะคล้ายน้ำเชื่อมเมื่อเย็นลงจะได้แนวเชื่อมที่สะอาดมีความแข็งแรง เปลวไฟชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับการเชื่อมและตัดโลหะ โดยเฉพาะเหล็ก เนื่องจากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ จึงไม่เกิดการเติมธาตุคาร์บอนลงในรอยเชื่อม 1.
5 ลิตร 7. ใจความของกฎของชาร์ลส์ คือสูตรที่ใช้คือ = เมื่อความดันและมวลของแก๊สคงที่ ปริมาตรของแก๊สจะแปรผันตรงกับ อุณหภูมิเคลวิน 8. สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง 10 cm3 เมื่อทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนอย่างสมบูรณ์ จะต้องใช้แก๊สออกซิเจน 35 cm3 และได้แก๊ส CO2 20 cm3 กับน้ำ สารประกอบชนิดนี้ควรมี สูตรโมเลกุลเป็นอย่างไร = CxHy + O2 ---> CO2 + H2O 10 cm3 65 cm3 40 cm3 2 13 8 2CxHy + 13O2 ---> 8CO2 + 10H2O 9. ถ้ามีแก๊ส C3H6 20 cm3 ผสมอยู่กับ C3H8 20 cm3 จะต้องใช้แก๊สออกซิเจนกี่ cm3 ที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน จึงจะทำปฏิกิริยาได้พอดี กำหนดสมการเคมีให้ดังนี้ C3H8 + O2 ---> CO2 + H2O C2H4 + O2 ---> CO2 + H2O วิธีทำ 2C3H8 + 5O2 ---> 3CO2 + 4H2O 20 cm3 100 cm3 2C3H6 + 9O2 ---> 6CO2 + 6H2O 20 cm3 90 cm3 ต้องใช้ออกซิเจนทั้งหมด = (100 + 90) = 190 cm3 10. ปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส X2 และแก๊ส Y2 ได้แก๊ส XY เป็นปฏิกิริยาที่ไม่ผันกลับ ถ้านำ แก๊ส X2 4 โมลและแก๊ส Y2 2 โมล มาทำปฏิกิริยากัน จะได้แก๊สทั้งหมดกี่ cm3 ที่ STP = X2 + Y2 ---> 2XY เดิม 4 โมล 2 โมล 0 ใช้ 2 โมล 2 โมล 0 เกิด - - 4 โมล เหลือ 2 โมล 0 4 โมล มีแก๊ส 6 โมล = 6 x 22.