สมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ. ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "…ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน…" ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้ เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ 1. วงปี่พาทย์ ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วย เครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้ 1. ระนาดเอก 2. ปี่ใน 3. ฆ้องวง (ใหญ่) 4. กลองทัด ตะโพน 5. ฉิ่ง 2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รำมะนา ทำให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ 1.
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี การดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนับได้ว่า มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนนิยมเล่นดนตรีกันมาก ซึ่งเครื่องดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ได้รับมาจากกรุงสุโขทัย แต่ก็ได้มีการปรับปรุงรูปร่าง ตลอดจนการประสมวงดนตรี และได้มีการพัฒนา คิดค้นเรื่องดนตรีเพิ่มเติม เช่น จะเข้ เป็นต้น ด้วยความเจริญรุ่งเรืองในการดนตรีไทย มีประชาชนนิยมเล่นดนตรีไทยกันอย่างกว้างขวางจะเล่นดนตรีกันจนเกินขอบเขต จนต้องออกกฏมณเฑียรบาล ในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนารถ ( พ. ศ.
ประวัติดนตรีไทยในสมัยอยุธยา ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ. ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "... ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน... " ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ 1. วงปี่พาทย์ ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วย เครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้ คือ ระนาดเอก ปี่ใน ฆ้องวง (ใหญ่) กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง 2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รำมะนา ทำให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ ซอสามสาย กระจับปี่ (แทนพิณ) ทับ (โทน) รำมะนา ขลุ่ย กรับพวง
คนดีดพิณที่เรียกว่า กระจับปี่ 2. คนสีซอสามสาย 3. คนตีทับ (โทน) 4.
สมัยอยุธยา (พ. ศ. 1893 – 2310) – เครื่องดนตรีมีครบถ้วนทั้งดีด สี ตี เป่า ชาวบ้านนิยมเล่นกันมาก จนในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.
สมัยกรุงธนบุรี เนื่องจาก ในสมัยนี้ เป็น ช่วง ระยะเวลา อันสั้น เพียงแค่ 15 ปี และ ประกอบ กับ เป็น สมัย แห่ง การ ก่อร่างสร้างเมือง และ การป้องกัน ประเทศ เสียโดยมาก วงดนตรีไทย ในสมัยนี้ จึง ไม่ปรากฎ หลักฐานไว้ว่า ได้มีการ พัฒนา เปลี่ยนแปลง ขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคง เป็น ลักษณะ และรูปแบบของ ดนตรีไทย ใน สมัย กรุงศรีอยุธยา นั่นเอง
สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) เป็นระยะที่ดนตรีไทยซบเซา เนื่องจากการขาดการสนับสนุนจากหลายส่วน รวมไปถึงคนไทยที่นิยมหันไปเล่นดนตรีแบบตะวันตกด้วย ทำให้การประพันธ์เพลงในสมัยนี้มีการนำทำนองเพลงของสากลเข้ามาผสมผสานโดยมีผู้นำทำนองเพลงไทยใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์และภาพยนต์ มีนักประพันธ์เพลงขึ้นหลายท่าน เช่น พรานบูรพ์ (จวงจันทร์ จันทร์คณา) หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) นายล้วน ควันธรรม เป็นต้น WINKWHITE
ดนตรีไทยในสมัย สุโขทัย - อยุธยา by Tanapon Chonkat
ซอสามสาย 2. กระจับปี่ (แทนพิณ) 3. ทับ (โทน) 4. รำมะนา 5. ขลุ่ย 6. กรับพวง
วันอังคาร ที่ 16 มีนาคม 2553 Posted by pakthada, ผู้อ่าน: 74257, 03:20:33 น.