สวัสดีครับ วันนี้ สำนักกฎหมายอุดมคดี มีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แก้ไขใหม่เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564 นี้นะครับ ที่มา หากอ่านตามพระราชกฤษฎีกาแล้วสามารถสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้ครับ การคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งเเละพาณิชย์ จะมีเกี่ยวข้องอยู่ 2 มาตรา นั่นก็คือ มาตรา 7 และมาตรา 224 ต่อมามีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งเเละพาณิชย์ พ. ศ. 2564 ยกเลิกมาตรา 7 และมาตรา 224 เดิม และให้ใช้ข้อความใหม่ และเพิ่มเติมมาตรา 224/1 เข้าไปอีกหนึ่งมาตรา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 10 เมษายน 2564 ใช้บังคับตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เมื่ออ่านทั้งสองมาตราแล้วสรุปได้ว่า 1. ตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง "ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี" จะเห็นได้ว่า มาตรา 7 วรรคหนึ่งตีความได้ว่า ในการกู้ยืม ถ้าผู้กู้และผู้ให้กู้ตกลงกันว่าต้องเสียดอกเบี้ย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว้ว่าเท่าใด ผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี 2. ตามมาตรา 7 วรรคสอง ตีความได้ว่า อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศโดยจะตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทุกๆ 3 ปี เพื่อให้คิดดอกเบี้ยใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ ก็คือพิจารณาเพื่อปรับลดดอกเบี้ยตามกฎหมายทุกๆ 3 ปีนั่นเอง ข้อสังเกต 2.
5 ต่อปี และเรียกดอกเบี้ยผิดนัดอีกร้อยละ 15 ต่อปี B ยอมรับว่ากู้จริง แต่ต่อสู้เรื่องดอกเบี้ยว่า ดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละ 3 ต่อปี อีกทั้งดอกเบี้ยผิดนัดต้องคิดร้อยละ 5 ต่อปี ไม่ใช่ร้อยละ 15 ต่อปี ขอให้ศาลกำหนดดอกเบี้ยใหม่ตามกฎหมาย ข้อต่อสู้ของ ฟังขึ้นหรือไม่ ประเด็นที่ 1. ข้อต่อสู้ในดอกเบี้ยตามกฎหมายร้อยละ 3 ฟังขึ้น เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ใหม่ กำหนดว่าหากทำสัญญากู้ยืม แล้วกำหนดดอกเบี้ยเอาไว้ แต่ไม่ได้กำหนดไว้ในอัตราเท่าใด ให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี และเนื่องจากกฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยใหม่ประกาศให้เริ่มใช้เมื่อ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จึงเริ่มใช้อัตราดอกเบี้ยนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฉะนั้น หากมีการกู้ยืมกันก่อน 11 เมษายน 2564 หรือฟ้องเป็นคดีอยู่ในระหว่างพิจาณาก่อน 11 เมษายน 2564 แล้ว ศาลก็ต้องปรับลดให้เหลือร้อยละ 3 ต่อปี เพราะเป็นผลของกฎหมาย (ฎีกา 2983/2549) ประเด็นที่ 2. ข้อต่อสู้เรื่องดอกเบี้ยผิดนัดว่าให้ใช้อัตราร้อยละ 5 ต่อปีฟังไม่ขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยผิดนัดตาม 224 เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดกันไว้ แต่คู่สัญญาไม่ได้กำหนดอัตราไว้ที่เท่าใด จึงให้ใช้ร้อยละ 5 ต่อปี แต่ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า A และ B กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดกันไว้ร้อยละ 15 ต่อปี จึงต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จะใช้อัตราร้อยละ 5 ต่อปีตามมาตรา 224 ไม่ได้ ประเด็นที่ 3.
มาตรา 224 ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงของดอกเบี้ยผิดนัด แต่ดอกเบี้ยผิดนัดนี้ ถือเป็นเบี้ยปรับ เมื่อศาลเห็นว่าสูงเกินควร ก็ยอ่มมีดุลพินิจปรับลดได้ตามสมควร (ฎีกา 8820/2561) จากตัวอย่างนี้ ผู้อ่านก็คงจะทราบแนวทางของอัตราดอกเบี้ยของกฎหมายใหม่กันเเล้วนะครับ หากท่านมีปัญหาในเรื่องข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอื่นๆ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย สามารถติดต่อพวกเราได้ โทร: 082-5838658 Line: @Udomkadee FB:
เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 255 อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หน่วย: ร้อยละต่อปี 1. ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) 7. 13 2. ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) 7. 48 3. ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) 8. 10 4. 1 เงินให้กู้ยืมที่มีหลักประกันเป็นเงินฝากจำนวนเงินไม่น้อยกว่า จำนวนที่กู้ยืม อัตราต่ำสุด – หลักประกันเป็นเงินฝากประจำของบุคคลธรรมดา 3. 25 – หลักประกันเป็นเงินฝากออมทรัพย์ของบุคคลธรรมดา 0. 90 – หลักประกันเป็นเงินฝากประจำของนิติบุคคล 3. 00 – หลักประกันเป็นเงินฝากออมทรัพย์ของนิติบุคคล 0. 77 – ส่วนต่างสูงสุดเหนืออัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงินไม่น้อยกว่าจำนวนที่กู้ยืม 4. 2 เงินให้กู้ยืมที่มีหลักประกันเป็นเงินฝากจำนวนเงินไม่น้อยกว่า จำนวนที่กู้ยืม – อัตราดอกเบี้ยของเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำที่เป็นหลักประกัน บวกด้วย ส่วนต่างสูงสุด ไม่เกินร้อยละ 3. 00 4. 3 เงินให้กู้ยืมที่มีหลักประกันเป็นตั๋วแลกเงินกสิกรไทย มูลค่าของตั๋วแลกเงินไม่น้อยกว่า จำนวนเงินที่กู้ยืม – อัตราดอกเบี้ยของตั๋วแลกเงินกสิกรไทยที่เป็นหลักประกัน บวกด้วย ส่วนต่างสูงสุด ไม่เกินร้อยละ 3.